เมนู

อรรถกถากุมมาสปิฑชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระนางมัลลิกาเทวี จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า น กิรตฺถิ ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระนางเป็นธิดาของหัวหน้านายมาลาการคน
หนึ่ง ในนครสาวัตถี มีรูปโฉมเลอเลิศ มีปัญญามาก เวลาพระนางมี
พระชนมายุ 16 พรรษา วันหนึ่ง กำลังไปสวนดอกไม้พร้อมกับหญิง
สาวทั้งหลาย หยิบเอาขนมกุมมาส 3 ก้อน วางไว้ในกระเช้าดอกไม้
เดินไป. เวลาออกไปจากพระนคร พระนางเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเปล่งรัศมีแห่งพระสรีระ มีพระภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม กำลังเสด็จเข้า
พระนคร จึงน้อมก้อนขนมกุมมาสเหล่านั้นเข้าไปถวาย. พระศาสดา
ทรงยื่นบาตรที่ท้าวจาตุมมหาราชถวายออกรับ. ฝ่ายพระนาง วันทา
พระบาทของพระตถาคตด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้ยึดเอาปีติมีพระพุทธเจ้า
เป็นอารมณ์ ยืนอยู่ ที่สมควรข้างหนึ่ง. พระศาสดาเมื่อทรงทอด
พระเนตรนาง ได้ทรงการทำการแย้มให้ปรากฏ. ท่านพระอานนทเถระ
จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ
เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในการแย้มสรวลของพระตถาคตเจ้า ?
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถึงเหตุแห่งการทรงแย้มแก่พระอานนท์
ว่า ดูก่อนอานนท์ กุมาริกาคนนี้จักได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าโกศล
ในวันนี้ทีเดียว เพราะผลแก่การถวายก้อนขนมกุมมาสเหล่านี้. ฝ่าย

นางกุมาริกาไปสวนดอกไม้แล้ว. วันนั้นเอง พระเจ้าโกศล ทรงรบกับ
พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงปราชัยในการรบแล้ว เมื่อทรงล่าถอยได้ทรง
ม้าต้นเสด็จมา ทรงสดับเสียงเพลงขับของนาง ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์
จึงทรงควบม้าต้นมุ่งหน้าสู่สวนนั้น. กุมาริกาผู้ถึงพร้อมด้วยบุญ เห็น
พระราชาแล้วไม่หนีเลย มาจับเชือกบังเหียนม้าทรงไว้. พระราชา
ประทับนั่งบนหลังม้าทรงนั่งเอง ตรัสถามว่า เธอมีสามีหรือยัง ? เมื่อ
ทรงทราบว่ายังไม่มีสามี จึงได้เสด็จลงจากหลังม้าต้น ทรงอิดโรย
เพราะลมและแดด ทรงบรรทมม่อยหลับไปงีบหนึ่งบนตักของนาง แล้ว
ให้นางนั่งบนหลังม้าทรง มีพลนิกายแวดล้อมเสด็จเข้าพระนคร ทรง
ส่งนางไปยังเรือนของผู้มีตระกูลของตน เวลาเย็น ทรงส่งยานไป
ให้นำเอานางมาจากเรือนของผู้มีสกุล ด้วยสักการะสัมมานะมาก
ให้นั่งใกล้กองรัตนะ ทรงทำการอภิเษกแล้ว ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็น
อัครมเหสี. จำเดิมแต่นั้นมา พระนางทรงเป็นที่โปรดปราน เป็นที่พอ
พระราชหฤทัยของพระราชา ทรงเป็นเทพดาของผัวผู้ประกอบด้วย
กัลยาณธรรม 5 ประการ มีการตื่นก่อนเป็นต้น ได้ทรงเป็นผู้ใกล้ชิด
แม้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. การที่พระนางทรงถวายขนมกุมมาส
3 ก้อน แต่พระศาสดา แล้วได้ทั้งประสบสมบัตินั้น ได้ระบือไปทั่ว
พระนคร. ภายหลังอยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งข้อสนทนา
กันขึ้นที่ธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโส พระนางมัลลิกาเทวี ทรงถวาย
ขนม 3 ก้อนแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยผลของการถวายขนม

เหล่านั้น ทรงได้รับอภิเษกในวันนั้นเอง ความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์จริง. พระศาสดาเสด็จมา แล้วตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์เลย การที่พระนางมัลลิกาเทวีทรงถวายขนม
กุมมาสแก่พระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์เดียว แล้วทรงได้รับความ
เป็นพระมเหสีของพระเจ้าโกศล เพราะเหตุไร ? เพราะพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายทรงเป็นผู้มีพระคุณมาก ส่วนบัณฑิตในปางก่อน ได้ถวาย
ขนมกุมมาสจืด ไม่ผสมเกลือ ไม่มีน้ำมัน ไม่ผสมน้ำอ้อย แก่พระปัจเจก-
พุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วได้รับสิริราชสมบัติ ในแคว้นกาสีประมาณ
3 โยชน์ ในอัตภาพที่ 2 เพราะผลการถวายขนมนั้น น่าอัศจรรย์แท้
ดังนี้ แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัตอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลของตนยากจนตระกูลหนึ่ง เติบโต
แล้วอาศัยเศรษฐีคนหนึ่ง ทำงานรับจ้างเลี้ยงชีวิต. อยู่มาวันหนึ่ง เขา
ถือขนมกุมมาส 4 ก้อนมาจากตลาด โดยคิดว่า ขนมเหล่านี้จักเป็น
อาหารเช้าของเรา เมื่อเดินไปทำงานได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า 4 องศ์
กำลังเสด็จมา บ่ายพระพักตร์ไปนครพาราณสีเพื่อประโยชน์แก่ภิกษา-
จาร จึงคิดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ เสด็จไปนครพาราณสีเพื่อ
ต้องการภิกษาจาร เราก็มีขนมกุมมาส 4 ก้อนนี้ ถ้ากะไรแล้ว เราควร

ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ แล้วเข้าไปเฝ้าท่านทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีขนมกุมมาสในมือ 4 ก้อน ข้าพระองค์
ขอถวายขนมเหล่านี้แก่พระองค์ทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้า
พระองค์ขอโอกาส ขอพระองค์ทั้งหลายจงทรงรับเถิด แม้เมื่อเป็นเช่นนี้
บุญนี้ จักมีแก่ข้าพระองค์ เพื่อประโยชน์และความสุขตลอดกาลนาน ได้
ทราบการทรงรับนิมนต์ของพระองค์ท่านแล้ว ก็ตกแต่งอาสนะ 4 ที่โดย
พูนทรายขึ้นลาดกิ่งไม้และผ้าเปลือกไม้ไว้บนกองทรายเหล่านั้น นิมนต์
พระปัจเจกพุทธเจ้าให้ประทับนั่งตามลำดับแล้ว เอากระทงใบไม้ตักน้ำมา
หลั่งทักขิโณทก วางขนมกุมาส 4 ก้อนลงในบาตร 4 ใบ นมัสการแล้ว
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งการถวายขนมกุมมาสเหล่านั้น
ขึ้นชื่อว่าการเกิดในเรือนคนจน ขอจงอย่ามีเลย ขอให้การถวายทานนี้
จงเป็นปัจจัยแห่งการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ. พระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลายก็เสวยทันที ในที่สุดแห่งการเสวย ทรงทำอนุโมทนาแล้ว
ได้ทรงเหาะไปสู่เงื้อมเขานันทมูลนั่นเอง. พระโพธิสัตว์ประคองอัญชลี
แล้วเอาปีติที่ไปในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ พอพระปัจเจกพุทธ-
เจ้าเหล่านั้นละสายตาไปแล้วก็ไป ณ ที่ทำงานของตน. แม้ท่านทำกรรม
เพียงเท่านี้ แต่รำลึกถึงทานนั้นตลอดอายุถึงแก่กรรมแล้ว ก็ถือกำเนิดใน
พระอุทรของพระอัครมเหสี ของพระเจ้าพาราณสี. พระญาติทั้งหลายได้
ถวายพระนามว่า พรหมทัตกุการ. ท้าวเธอ จำเดิมแต่เวลาที่ตนเสด็จดำ
เนินไปด้วยพระบาท ทรงเห็นกิริยาอาการของตนในชาติก่อนปรากฏชัด

ด้วยความรู้ระลึกชาติได้เหมือนเห็นเอาหน้าในกระจกเงาที่ใสว่า เราได้
เป็นลูกจ้างในนครนี้นั่นเอง เมื่อเดินไปทำงานได้ถวายขนมกุมมาส 4
ก้อน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ถือกำเนิดในที่นี้ เพราะผล
ของกรรมนั้น. ท้าวเธอทรงเจริญวัย แล้วเสด็จไปยังนครตักกศิลา
ทรงเรียนศิลปะทุกอย่าง แล้วเสด็จกลับมา ทรงแสดงศิลปะที่ทรงศึกษา
มาแล้ว แก่พระราชบิดา แล้วพระราชบิดาทรงพอพระราชหฤทัย ทรง
สถาปนาไว้ในตำแหน่งอุปราช ในกาลต่อมาโดยสิ้นรัชกาลของพระ
ราชบิดา ก็ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ. ลำดับนั้น อำมาตย์ทั้งหลาย
พากันนำพระราชธิดาของพระเจ้าโกศลผู้ทรงเลอโฉม มาถวายให้เป็น
พระอัครมเหสีของพระองค์. ก็ในวันฉัตรมงคลของพระองค์ คนทั้งหลาย
ได้พากันตบแต่งพระนครทั้งนครให้เหมือนเทพนคร ก็ปานกัน. พระองค์
เสด็จเลียบพระนคร แล้วเสด็จขึ้นปราสาทที่ตบแต่ง แล้วเสด็จขึ้น
พระราชบัลลังก์ ที่ยกเศวตรฉัตรขึ้นไว้ ณ ท่ามกลางชั้นที่กว้างใหญ่
ประทับนั่งแล้ว ทอดพระเนตรพสกนิกรทั้งหลาย ที่พากันยืนเฝ้า
ด้านหนึ่งเป็นอำมาตย์ ด้านหนึ่งเป็นคหบดี มีพราหมณ์คหบดีเป็นต้น
ผู้มีสมบัติต่าง ๆ กัน มีความรุ่งเรืองสุกใสด้วยสิริวิลาส ด้านหนึ่งเป็น
ประชาชนชาวกรุง มีมือถือเครื่องบรรณาการนานาชนิด ด้านหนึ่ง
เป็นคณะหญิงฟ้อนจำนวนหมื่นหกพันนาง ปานประหนึ่งสาวอัปสร
ผู้ตบแต่งแล้ว ฉะนั้น และสิริราชสมบัตินี้เป็นที่รื่นรมย์พระทัยยิ่งนัก
ทรงรำลึกถึงกุศลกรรมที่ตนบำเพ็ญไว้ในปางก่อนแล้ว ทรงรำลึกถึง

พระคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายว่า สิริสมบัติแม้ทั้งหมดนี้ คือ
ห่อทองห่อนี้ 1 ดอกไม้ทอง 1 เศวตรฉัตร 1 ช้างม้าและรสที่เป็น
ราชพาหนะเหล่านี้ จำนวนหลายพัน 1 ห้องคลังที่เต็มด้วยแก้วมณี
และแก้วมุกดาเป็นต้น 1 แผ่นดินใหญ่ที่เต็มไปด้วยธัญชาตินานาชนิด 1
เหล่านารีที่เทียบเคียงกับสาวอัปสร 1 เป็นสมบัติของเรา ไม่ใช่ของ
คนอื่น แต่เป็นสิ่งที่อาศัยการถวายขนมกุมมาส 4 ก้อน แก่พระปัจเจก
4 องค์นั่นเอง สมบัตินั้นเราได้มาเพราะอาศัยพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่า
นั้น ดังนี้ แล้วได้กระทำกรรมของตนให้ปรากฏแล้ว. เมื่อพระองค์
ทรงรำลึกถึงผลกรรมนั้นแล้ว พระสรีระทั้งสิ้นเต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ.
พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยชุ่มเย็นด้วยปีติ เมื่อทรงขับเพลงขับที่ทรง
อุทานออกมา ที่ท่ามกลางมหาชน ได้ตรัสคาถา 2 คาถา ว่า :-
ได้ยินว่า การปรนนิบัติพระอโนมทัสสี-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีผลหาน้อยไม่ เชิญ
ผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสที่แห้งและ
มีรสจืดชืดเถิด โปรดดูผลแห่งการถวายก้อน
ขนมกุมมาสที่เป็นเหตุให้เรามีช้าง โคม้า ทรัพย์
และข้าวเปลือกมากมาย ทั้งแผ่นดิน ทั้งสิ้น
และนางนารีเหล่านี้ ที่เปรียบด้วยนางอัปสร
เชิญดูผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโนมทสฺสิสุ ความว่า พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อโนมทัสสี เพราะได้เห็นปัจเจก-
โพธิญาณ ที่ไม่ต่ำช้า คือไม่ลามก. การทำสามีจิกรรม มีการอภิวาท
การลุกขึ้นรับ และการทำอัญชลีเป็นต้นก็ดี การเห็นสมบัติในปัจจุบัน
แล้วยังจิตให้เลื่อมใสในไทยธรรมที่เป็นของตน จะน้อยหรือมาก เลว
หรือประณีตก็ตาม แล้วกำหนดคุณของปฏิคาหก ชำระเจตนาทั้ง 3 ให้
สะอาด เชื่อผลของกรรม แล้วทำการบริจาคก็ดี ชื่อว่า ปาริจริยา
การปรนนิบัติ. บทว่า พุทฺเธสุ ความว่า ในพระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลาย. บทว่า. อปฺปกา ความว่า ธรรมดาการปรนนิบัติที่จะย่อหย่อน
หรือน้อยไม่มี. บทว่า สุกฺขาย ความว่า ไม่มียางเหนียว. บทว่า
อโลณิกาย ความว่า เว้นจากน้ำอ้อย. อธิบายว่า ก้อนขนมกุมมาสนั้น
ท่านกล่าวว่า อโลณิกา คือจืดชืด เพราะเขาทำสำเร็จรูปแล้ว โดยไม่
ผสมน้ำอ้อย. บทว่า กุมฺมาสปิณฑิยา ความว่า พระราชาตรัสอย่างนี้
หมายถึงขนมกุมมาสที่พระโพธิสัตว์ถือไป โดยรวมขนมกุมมาส 4 ก้อน
เข้าด้วยกันนั่นเอง. ทักขิณาทานที่ทายกกำหนดคุณของสมณะพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้มีคุณแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใส ยังเจตนาทั้ง 3 ของผู้มุ่งหวัง
การเกิดผลให้ผ่องแผ้วแล้วจึงถวาย ชื่อว่า มีผลน้อยไม่มี มีแต่จะอำนวย.
มหาสมบัติให้ในที่ที่เกิดแล้วเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในข้อนี้ จึงมีคำที่
ท่านกล่าวรับรองไว้ว่า :-

เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักขิณาที่ถวายแล้ว
ในพระตถาคตเจ้า ในพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ
สาวกของพระองค์ก็ตาม ชื่อว่า มีผลน้อย
ไม่มี.

แต่เพื่อแสดงถึงเนื้อความนั้น ควรนำเรื่องวิมานวัตถุทั้งหลายมา
สาธก มีอาทิอย่างนี้ว่า :-
ดิฉันได้ถวายน้ำมันแก่ภิกษุผู้เดินไปบิณ-
ฑบาต เชิญชมวิมานของดิฉันนั้นเถิด ดิฉัน
เป็นนางอัปสรสาวสวรรค์ ผู้มีผิวพรรณน่ารัก
ดิฉันมีนางอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร เชิญดูผล
วิบากของบุญทั้งหลายเถิด ด้วยผลบุญนั้น ผิว-
พรรณของดิฉัน จึงเป็นเช่นนี้ ด้วยผลบุญนั้น
สิ่งนี้จึงสำเร็จแก่ดิฉัน โภคทั้งหลาย ไม่ว่าชนิด
ไหน ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่พอใจเกิดขึ้นแก่ดิฉัน
ด้วยผลบุญนั้น ดิฉันจึงมีอานุภาพรุ่งโรจน์อย่าง
นี้ และผิวพรรณของดิฉันเปล่งรัศมีไปทั่วทุก
ทิศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธนธญฺญา ได้แก่ ทรัพย์มีแก้ว
มุกดาเป็นต้น และธัญชาติ 7 ชนิด. บทว่า ปฐวี จ เกวลา ได้แก่
แผ่นดินใหญ่นี้ทั้งสิ้นด้วย. พระราชาตรัสสำคัญหมายว่า แผ่นดินทั้งหมด
ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว. บทว่า ปสฺส ผลํ กุมฺมาส-
ปิณฺฑิยา
ความว่า พระราชาเมื่อทรงแสดงผลทานของพระองค์ด้วย
พระองค์เอง จึงตรัสอย่างนี้. ได้ทราบมาว่า พระโพธิสัตว์ก็ดี พระ-
สรรเพชญพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี ทรงทราบผลของทานอยู่. และเพราะ
เหตุนั่นเอง พระศาสดา เมื่อตรัสพระสูตรในอิติวุตตกะ จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์ทั้งหลายก็ควรรู้วิบากของ
การแจกจ่ายทาน ดังที่เราตถาคตรู้ เพราะฉะนั้น คนทั้งหลายยังไม่ได้
ให้ ก็ไม่ควรบริโภค และไม่ควรให้ความตระหนี่ที่เป็นมลทินครอบงำ
จิตใจของพวกเขาตั้งอยู่. ทั้งยังไม่ได้แจกจ่าย แม้จากคำข้าวคำสุดท้าย
คำข้าวคำที่กินเสร็จของพวกเขาก็ไม่ควรบริโภค ถ้าพวกเขาพึงมีปฏิคา-
หก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่สัตว์ทั้งหลายไม่รู้วิบากของ
การแจกจ่ายทานอย่างนี้ เหมือนที่เราตถาคตรู้ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลาย
ยังไม่ให้ก็บริโภค และความตระหนี่ที่เป็นมลทิน ก็ครอบงำจิตใจพวก
เขาตั้งอยู่.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ทรงมีปีติปราโมทย์เกิดขึ้นในวันฉัตรมงคล
ของตน จึงทรงร้องเพลงพระราชอุทาน ด้วยคาถา 2 คาถาเหล่านี้.

จำเดิมแต่นั้นมา เหล่าหญิงฟ้อนของพระโพธิสัตว์พากันร้องเพลงนั้น
โดยคิดว่า เป็นเพลงที่พระราชาทรงโปรด คือเพลงพระราชนิพนธ์
และคนธรรพ์เป็นนักฟ้อนทั้งหลายเป็นต้น ที่เหลือก็ดี คนภายในเมือง
ก็ดี คนที่อยู่ภายในพระนครทั้งหลายก็ดี คนที่อยู่ภายนอกพระนครทั้ง
หลายก็ดี พากันร้องเพลงนั้นเหมือนกัน ที่ร้านเครื่องดื่มภัตตาคารบ้าง ที่
บริเวณชุมชนบ้าง โดยคิดว่า เป็นเพลงที่พระราชาของพวกเราทรง
โปรด. เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้วอย่างนี้ พระมเหสีได้มีพระราชประสงค์
จะทรงทราบเนื้อร้องของเพลงนั้น. แต่ไม่กล้าทูลถามพระมหาสัตว์. ต่อมา
วันหนึ่ง พระราชาทรงเลื่อมใสในคุณงามความดีอย่างหนึ่ง ของพระนาง
จึงตรัสว่า น้องนางเอ๋ย ฉันจะให้พรแก่เธอ ขอให้เธอจงรับพระพระนาง
จึงทูลว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม หม่อมฉัน
ขอรับพระราชทานพระพร บรรดาช้างม้าเป็นต้น เราจะให้อะไรแก่เธอ
ข้าแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่มีอะไรที่หม่อมฉันไม่มี เพราะอาศัย
เสด็จพี่ หม่อมฉันไม่มีความต้องการสิ่งเหล่านั้น ถ้าหากเสด็จพี่มีพระ-
ราชประสงค์จะพระราชทานพระพร ขอจงตรัสบอกเนื้อเพลง พระราช-
นิพนธ์ พระราชทานหม่อมฉันเถิด. น้องนาง เธอจะมีประโยชน์
อะไรด้วยพรนี้ เธอจงรับเอาพรอื่นเถิด. ขอเดชะพระอาชญาไม่พ้น
เกล้า หม่อมฉันไม่มีความต้องการอย่างอื่น ต้องการเนื้อเพลงพระราช-
นิพนธ์อย่างเดียว. น้องนาง ดีแล้ว เราจักบอกให้ แต่เราจะไม่บอก
แต่เธอคนเดียวในที่ลับ จักให้ตีกลองป่าวร้องไปในนครพาราณสี ประ-

มาณ 12 โยชน์ ให้สร้างรัตนบัลลังก์ที่พระทวารหลวง ให้ลาดรัตน-
บัลลังก์ห้อมล้อมด้วยชาวนครทั้งหลาย มีอำมาตย์และพราหมณ์เป็นต้น
และหญิงหมื่นหกพันนาง นั่งบนรัตนบัลลังก์ ท่ามกลางคนเหล่านั้น
แล้วบอก พระนางทูลรับว่า ดีแล้ว เพคะ. พระราชาทรงให้ทำอย่างนั้น
แล้ว มีหมู่มหาชนแวดล้อม เหมือนท้าวสักกะเทวราชมีหมู่เทวดาห้อม
ล้อม ฉะนั้น แล้วเสด็จประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์. ฝ่ายพระราชเทวี
ทรงประดับประดาด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง ตั้งพระภัทรบิฐทอง ทรง
ชำเลืองหางพระเนตรดูที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วประทับ ณ ที่ตามความ
เหมาะสม ทูลว่า ข้าแต่เสด็จพี่ ขอเสด็จพี่จงตรัสบอกเนื้อร้องของเพลง
มงคลที่เสด็จพี่ปลื้มพระทัย แล้วทรงขับร้องแก่หม่อมฉันให้ชัดแจ้ง
เหมือนให้พระจันทร์โผล่ขึ้นบนท้องฟ้าก่อน ฉะนั้น แล้วทูลคาถาที่ 3
ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงทำความ
ยิ่งใหญ่ เพราะกุศลธรรม พระองค์ตรัสคาถา
ทรงเพลงเสมอ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพัฒนา
รัฐ หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์
ผู้มีพระราชหฤทัยประกอบด้วยปีติอย่างแรงกล้า
โปรดบอกหม่อมฉันเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกสลาธิป ความว่า พระมหาสัตว์
นั้น ทรงเป็นใหญ่ยิ่งในแคว้นโกศล แต่เสด็จประทับอยู่ โดยทรงทำ
ความเป็นใหญ่ยิ่งในเพราะกุศลธรรม เพราะเหตุนั้น พระราชเทวี
เมื่อทรงเรียกพระองค์ จึงทูลอย่างนี้. บทว่า กุสลาธิป มีอธิบายว่า
ผู้ทรงมีพระอัธยาศัยเป็นกุศล. บทว่า พาฬฺหํ ปีติมโน ปภาสสิ
ความว่า ขอพระองค์โปรดมีพระราชหฤทัย ประกอบด้วยปีติอย่างเหลือ
เกิน ตรัสบอก คือว่า เพราะฉะนั้น ขอพระองค์โปรดตรัสบอกเนื้อ
ความของคาถา คือเนื้อเพลงเหล่านั้น แก่หม่อมฉันก่อนเถิด.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงทำเนื้อความของคาถา
ทั้งหลายให้แจ่มชัดแก่พระนาง จึงได้ภาษิตคาถา 4 คาถา ว่า:-
เราได้เกิดในตระกูลหนึ่งในนครนี้นั่นเอง
ได้เป็นลูกจ้างทำงานให้คนอื่น แต่มีสีลสังวร
เราออกไปทำงานได้เห็นสมณะ 4 รูป ผู้
สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระ เป็นผู้เยือกเย็น
ไม่มีอาสวะ ยังจิตให้เลื่อมใสในท่านเหล่านั้น
แล้ว ได้ให้ท่านนั่งบนอาสนะที่ปูด้วยใบไม้
เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายขนมกุมมาสแก่พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยมือของตนเอง.

ผลของกุศลธรรมนั้นของเรานี้เป็นเช่นนี้ คือเรา
ได้เสวยราชสมบัตินี้ ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์
กว้างขวาง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุเล อญฺญตเร ความว่า ใน
ตระกูลหนึ่งนั่นเอง ที่ไม่ปรากฏชื่อหรือโคตร. บทว่า อหุํ ความว่า
เถิดแล้ว. บทว่า ปรกมฺมกโร อาสึ ความว่า เราเกิดในตระกูลนั้นแล้ว
เมื่อทำงานของผู้อื่นเลี้ยงชีพ เพราะเป็นคนจน ชื่อว่า ได้เป็นกรรมกร
ของผู้อื่น คือทำงานของผู้อื่น. บทว่า ภตโก คือลูกจ้าง ได้แก่ ผู้ที่
เลี้ยงตัวด้วยค่าจ้างของคนอื่น. บทว่า สีลสํวุโต ความว่า ดำรงอยู่
แล้ว ในสีลสังวร 5 ประการ พระมหาสัตว์ทรงแสดงว่า เราแม้เลี้ยง
ชีพด้วยค่าจ้าง แต่ก็ละความทุศีล ได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล. บทว่า
กมฺมาย นิกฺขมนฺตาหํ ความว่า วันนั้น เราออกไปเพื่อจะทำงานที่
ต้องทำ. บทว่า จตุโร สมเณ อทฺทสํ ความว่า ดูก่อนน้องนาง เรา
ออกจากพระนครไป ขึ้นทางหลวงเดินไปแหล่งที่ทำงานของตน ได้เห็น
บรรพชิต 4 รูป ผู้มีบาปสงบแล้ว กำลังเข้าไปสู่นครพาราณสีเพื่อต้อง
การบิณฑบาต. บทว่า อาจารสีลสมฺปนฺเน ความว่า การเลี้ยงชีพ
ด้วยอเนสนา 21 อย่าง ชื่อว่า อนาจาร ผู้ประกอบพร้อมด้วยอาจาระ
ที่ตรงกันข้ามกับอนาจารนั้น และศีลที่มาแล้ว โดยมรรคและผลทั้งหลาย.
บทว่า สีติภูเต ความว่า ผู้ถึงแล้วซึ่งความเย็น เพราะระงับความ

กระวนกระวาย มีราคะเป็นต้นได้ และดับไฟ 11 กองได้. บทว่า
อนาสเว ความว่า ผู้เว้นจากกามาสวะเป็นต้นได้. บทว่า นิสีทิตฺวา
ความว่า ให้นั่งบนสันถัดใบไม้ที่เขาปูลาดไว้บนอาสนะกองทราย เพราะ
ว่า สันถระในที่นี้ ท่านกล่าวว่า ได้แก่สันถัด. บทว่า อทาสึ ความว่า
ข้าพเจ้าถวายทักขิโณทกแก่ท่านเหล่านั้นแล้ว จึงได้ถวายขนมกุมมาส
โดยเคารพ ด้วยมือของตนเอง. บทว่า กุสลสฺส ความว่า ชื่อว่ากุศล
เพราะหมายความว่า ไม่มีทั้งโรค ไม่มีทั้งโทษ. บทว่า ผลํ ได้แก่ ผล
ที่หลั่งออกมาจากเหตุ. บทว่า ผีตํ ความว่า ที่ผลิตสมบัติทุกอย่างให้.
เมื่อพระมหาสัตว์บอกผลกรรมของตน โดยพิสดารอย่างนี้แล้ว
พระเทวีครั้นทรงสดับแล้ว ทรงมีพระทัยเลื่อมใส เมื่อจะทรงทำการ
สดุดีพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช ถ้าว่า พระองค์ทรงทราบผลทาน
โดยประจักษ์อย่างนี้แล้วไซร้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระองค์ทรงได้
ก้อนข้าวก้อนหนึ่งแล้ว ต้องถวายแก่สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรมนั้นแหละ
จึงจะเสวย ดังนี้แล้ว ได้ทูลคาถานี้ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นอธิบดี ในเพราะ
กุศลธรรม ขอพระองค์จงทรงพระราชทานก่อน
จึงเสวย ขอพระองค์อย่าทรงประมาท ทรง
หมุนล้อ คือพระธรรมเถิด ข้าแต่มหาราช ผู้
ทรงเป็นอธิบดีในเพราะกุศลธรรม ขอพระองค์

อย่าได้ทรงดำรงอยู่ในอธรรม โปรดรักษาทศ-
พิธราชธรรมไว้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ททํ ภุญฺชถ ความว่า พระองค์
ทรงประทานแก่ผู้อื่นแล้ว จึงเสวยด้วยพระองค์เอง. บทว่า มา ปมาโท
ความว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงประมาทในบุญทั้งหลาย. บทว่า จกฺกํ
วตฺตย โกสลาธิป
ความว่า ข้าแต่มหาราช ผู้ทรงมีพระราชอัธยาศัย
ในกุศลธรรม ขอพระองค์จงทรงหมุนล้อ คือพระธรรม 4 อย่าง มี
การอยู่ในประเทศที่เหมาะสมเป็นต้น. บทว่า จกฺกํ ความว่า รถวิ่งไป
ด้วยล้อ 2 ล้อ. แต่กายนี้ไปเทวโลก ด้วยล้อ 4 ล้อเหล่านี้. ล้อ 4 ล้อ
เหล่านั้น นับว่า เป็นล้อ คือพระธรรม. ขอพระองค์จงทรงหมุน คือ
ให้ล้อนั้นกลิ้งไป. บทว่า อธมฺมิโก ความว่า คนเหล่าอื่นถึงความ
ลำเอียงเพราะรักรีดทรัพย์นั่นเอง เหมือนหีบชาวโลก ด้วยเครื่องหีบ
อ้อย ฉะนั้น ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ดำรงธรรมฉันใด ขอพระองค์อย่าทรง
เป็นผู้ประพฤติอธรรม ฉันนั้น. บทว่า อนุธมฺมํ ปาลย ความว่า
แต่ขอพระองค์จงทรงคุ้มครอง คือรักษา ได้แก่ อย่าทรงสลัดทศพิธ-
ราชธรรมนี้ทิ้งเสีย คือ :-
ทาน 1 ศีล 1 การบริจาค 1 ความซื่อ
ตรง 1 ความอ่อนโยน 1 ตบะ คือความเพียร 1
ความไม่โกรธ 1 ความไม่เบียดเบียน 1 ความ
อดทน 1 และความไม่ผิดพลาด 1

พระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงรับพระดำรัสของพระนาง จึงตรัสคาถา
นี้ว่า :-
ดูก่อนพระธิดาของพระเจ้าโกศลผู้เลอ-
โฉม เรานั้นจักประพฤติตามทางที่พระอริยเจ้า
ทั้งหลายประพฤติมาแล้ว เสมอ ๆ นั้นนั่นเอง
พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นที่พอใจของเรา เรา
ต้องการจะได้เห็นท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตุมํ ได้แก่ ทาง. บทว่า อริยาจริตํ
ความว่า ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ประพฤติมาแล้ว.
บทว่า สุโกสเล มีเนื้อความว่า ดูก่อนพระธิดา คนดีของพระเจ้า
โกศลผู้เลอโฉม. บทว่า อรหนฺโต ได้แก่ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้ได้พระนามอย่างนี้ เพราะเป็นผู้ใกล้จากกิเลสทั้งหลาย เพราะเป็นผู้
หักกำแห่งสังสารจักร์ เพราะเป็นผู้ทำลายข้าศึกทั้งหลาย และเพราะเป็น
ผู้ควรแก่ปัจจัยทั้งหลาย. มีคำอธิบายไว้ว่า ดูก่อนพระธิดาของพระเจ้า-
ปัสเสนผู้เจริญ เรานั้น ไม่ทำความอิ่มใจว่า เราถวายทานแล้ว จัก
ประพฤติตามทาง คือทาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายประพฤติแล้ว บ่อย ๆ
นั้นนั่นเอง. ด้วยว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่ชอบใจ คือน่าทัศนาของ
เรา เพราะเป็นทักขิไณยบุคคลผู้ล้ำเลิศ เราประสงค์จะเห็นท่านเหล่านั้น
นั่นแหละ เพราะต้องการจะถวายจีวรเป็นต้น.

ก็แหละพระราชา ครั้นตรัสคำนี้แล้ว ทรงตรวจดูสมบัติของ
พระเทวี เมื่อตรัสถามว่า ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ เราบอกกุศลกรรม
ของตนในภพก่อนอย่างพิสดารแก่เธอแล้ว แต่ในท่ามกลางหญิงเหล่านี้
ไม่มีหญิงแม้แต่คนเดียวที่เช่นกับเธอ โดยรูปร่างหรือโดยเยื้องกราย
และกิริยาเสน่หาของหญิง เธอนั้นทำกรรมอะไรไว้ จึงได้รับสมบัตินี้
ดังนี้ จึงได้ตรัสคาถาซ้ำว่า :-
ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ ชาวโกศลคน
สวยงาม เธออุปมาเหมือนสาวอัปสร สวยงาม
ในท่ามกลางหมู่นารี เหมือนพระเทพเทวีของ
ท้าวสักกเทวราชก็ปานกันเธอได้ทำความดีอะไร
ไว้ เพราะเหตุอะไร เธอจึงมีผิวพรรณงาม ?

คาถานั้น มีเนื้อความว่า ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ. ชาวโกศล
คนสวยงาม คือผู้เป็นพระราชธิดาคนดีของพระเจ้าโกศล เธออุปมา
ดังสาวอัปสร โดยรูปสมบัติ สวยงามเหลือเกิน ในท่ามกลางหมู่นารีนี้
เหมือนเทพธิดาตนใดตนหนึ่งของท้าวสักกเทวราช ในสรวงสวรรค์
ในสมัยก่อน เธอได้ทำกรรมดีงามชื่ออะไรไว้ เพราะเหตุอะไร เธอจึง
มีผิวพรรณงามอย่างนี้.

ลำดับนั้น พระราชเทวีนั้น เมื่อจะทูลบอกกรรมดี ในภพก่อน
ด้วยพระญาณที่ทรงระลึกชาติได้ จึงได้ตรัสคาถา 2 คาถาที่เหลือว่า :-
ข้าแต่พระมหากษัตริย์ หม่อมฉันได้เป็น
ทาส ผู้รับใช้ผู้อื่นของตระกูลกุฎุมพี เป็นผู้
สำรวมระวัง เลี้ยงชีพโดยชอบธรรม มีศีล
ไม่พบเห็นบาป. ในครั้งนั้น หม่อมฉันมีจิต
เลื่อมใส ได้สำรวมใจ ถวายภัตตาหารที่เขา
ยกให้เป็นส่วนของตน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ผู้กำลังเดินไปบิณฑบาต ผลแห่งธรรมนั้นของ
หม่อมฉัน จึงเป็นเช่นนี้.

ได้ทราบมาว่า แม้พระราชเทวีนั้น ก็ทรงระลึกชาติได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น พระนางจึงได้ทูลพระราชา โดยทรงกำหนดด้วยพระญาณ
ที่ทรงระลึกชาติของตนไว้นั่นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพตฺถกุลสฺส ความว่า แห่ง
ตระกูลกุฎุมพี. บทว่า ทาสยาหํ ตัดบทเป็น ทาสี อหํ หม่อมฉันเป็น
ทาสี ปาฐะว่า ทาสาหํ ดังนี้ ก็มี. บทว่า ปรเปสิยา ความว่า เป็นผู้
ทำการรับใช้ คือ สาวใช้ที่ถูกผู้อื่นส่งไปเพื่อทำกิจนั้น ๆ. บทว่า สญฺญตา
ความว่า ธรรมดาว่า ทาสีเป็นผู้ทุศีล แต่หม่อมฉันเป็นผู้สำรวมด้วย

ทวาร 3 ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล. บทว่า ธมฺมชีวินี ความว่า เป็นผู้
เลี้ยงชีพ โดยไม่ทำการลวงผู้อื่นเป็นต้น แล้วประพฤติโดยธรรมโดย
สม่ำเสมอ. บทว่า สีลวตี ความว่า หม่อมฉันเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ
มีคุณความดี. บทว่า อปาปทสฺสสนา ความว่า เป็นผู้พบเห็นสิ่งที่ดีงาม
คือมีธรรมเป็นที่รัก. บทว่า อุทฺธตภตฺตํ ความว่า ภัตรส่วนที่หม่อมฉัน
ได้ โดยยกขึ้น ด้วยสามารถแห่งส่วนที่ถึงแก่ตน. บทว่า ภิกขุโน
ความว่า แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ทรงทำลายกิเลสแล้ว. บทว่า จิตฺตา
สุมนา
ความว่า เป็นผู้ดีใจ คือเกิดโสมนัสขึ้น เชื่อผลของกรรมอยู่.
บทว่า ตสฺส กมฺมสฺส ความว่า แห่งกรรม คือการถวายภิกษาอย่าง
เดียวนั้น. มีคำอธิบายว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อก่อนหม่อมฉันเป็นทาสี
ของตระกูลกุฎุมพีตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ในนครสาวัตถี ถือเอาภัตตาหาร
ส่วนทีได้แล้วเดินออกไป เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง กำลังทรง
ดำเนินไปบิณฑบาต ยังความยินดีของตนให้ห่อเหี่ยวลง ถึงพร้อม
ด้วยคุณธรรม มีความสำรวมระวังเป็นต้น เชื่อผลของกรรมอยู่ จึงได้
ถวายภัตตาหารนั้น แก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น. หม่อมฉันนั้น ดำรง
อยู่จนตลอดอายุถึงแก่กรรมแล้ว ได้ถือกำเนิดในพระอุทรของพระมเหสี
ของพระเจ้าโกศล ในนครสาวัตถีนั้น บัดนี้ กำลังบำเรอบาทของ
พระองค์ เสวยสมบัติเห็นปานนี้ ผลกรรมของหม่อมฉันนั้น เป็นอย่างนี้
คือเช่นนี้. ในเรื่องนั้น เพื่อแสดงถึงความที่ทานที่บุคคลถวายแล้วแก่
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยคุณความดีว่ามีผลมาก ควรอ้างคาถามาให้พิสดาร
มีอาทิว่า :-

บุญอันล้ำเลิศย่อมเจริญ แก่ชนทั้งหลาย
ผู้เลื่อมใสแล้ว ในบุคคลผู้ล้ำเลิศแล อายุ
วรรณะ ยศ เกียรติ ความสุขและกำลังอัน
ล้ำเลิศ ก็เจริญ. ผู้มีปัญญา ผู้ให้ของอันล้ำเลิศ
ตั้งมั่นแล้ว ในธรรมอันล้ำเลิศ เป็นภูต คือ
เทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตาม ผู้ถึงความล้ำเลิศแล้ว
ย่อมบรรเทิงใจ นี้เป็นขุมทรัพย์ที่อำนวยสมบัติ
ทุกอย่างแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.

พระราชาและพระมเหสีทั้ง 2 พระองค์นั้น ครั้นตรัสกรรมเก่า
โดยพิสดารด้วยประการอย่างนี้แล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ทรงให้สร้างศาลา
6 แห่ง คือที่ประตูพระนคร 4 แห่ง ที่กลางพระนคร 1 แห่ง ที่ประตู
พระราชวัง 1 แห่ง ทรงกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้กระฉ่อน ยังมหา-
ทานให้เป็นไป ทรงรักษาศีล รักษาอุโบสถ ในอวสานต์แห่งพระชนม์
ชีพ ได้ทรงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า พระราชเทวีในครั้งนั้น ได้แก่ มารดาพระราหุล ส่วน
พระราชา ได้แก่ เราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถากุมมาสปิณฑชาดกที่ 10

11. ปรันตปชาดก



ว่าด้วยลางบอกความชั่วและภัยที่จะมาถึง



[1114] บาปจักมาถึงข้าพระองค์ ภัยจักมาถึงข้า
พระองค์ เพราะมนุษย์หรือมฤคก็ไม่รู้เขย่ากิ่ง
ไม้ในครั้งนั้น.
[1115] ความใคร่ของเราในภรรยาผู้หวาดกลัว ที่
อยู่ไม่ไกลจักทำให้เราผอมเหลือง เหมือนกิ่งไม้
ทำให้นายปรันตปะผอมเหลืองฉะนั้น.
[1116] ภริยาผู้น่ารักใคร่ ไม่มีที่ติอยู่ในบ้าน จัด
เศร้าโศกถึงเรา ความเศร้าโศกจักทำให้เธอ
ผอมเหลือง เหมือนกิ่งไม้ทำให้นายปรันตปะ
ผอมเหลืองฉะนั้น.
[1117] หางตาที่หล่อนชำเลืองมาหาฉันก็ดี การ
ยิ้มของหล่อนก็ดี ถ้อยคำที่หล่อนเปล่งออกมา
ก็ดี จักทำให้เราผอมเหลือง เหมือนกิ่งไม้ทำให้
นายปรันตปะผอมเหลืองฉะนั้น.